Vitamin C 
ข้อมูลผลิตภัณฑ์

ในสภาวการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยโรคอุบัติใหม่ มลพิษจากสิ่งแวดล้อม และความเครียดจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบในยุคดิจิทัล อาจส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินซีได้ การปรับตัวในวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) จึงควรให้ความสำคัญกับการรับประทานวิตามินซีจากการรับประทานพืช-ผัก-ผลไม้สด แต่วิตามินซีสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน อากาศ ความชื้น หรือสารที่เป็นด่าง ส่งผลให้เราได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ การรับประทานวิตามินซี ที่สกัดจากธรรมชาติจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด “ผลิตภัณฑ์วิตามินซี Nature’s Bounty” เป็นวิตามินซีธรรมชาติ ที่สกัดจากกุหลาบป่า (Rose Hips) อุดมไปด้วยวิตามินซีสูงกว่าส้ม 20 เท่า มีไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) ได้แก่ ซิทริน (Citrin) รูทิน (Rutin) และเฮสเพอริดิน (Hesperidin) สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ได้แก่ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ไลโคปีน (Lycopene) ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีให้ดีขึ้น และป้องกันไม่ให้วิตามินซีถูกทำลายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น รวมทั้งคุณสมบัติเฉพาะตัวจากกระบวนการผลิตแบบ Time Release เคลือบเม็ดไม่ต่ำกว่า 10 ชั้น เพื่อให้เกิดการย่อยและดูดซึมจากทางเดินอาหารแบบต่อเนื่องตลอด 12 ชั่วโมง ต่อการรับประทาน 1 ครั้ง ส่งผลให้ระดับวิตามินซีในกระแสเลือดมีระดับคงที่ตลอดเวลาในปริมาณที่เหมาะสม จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินซี

*** 1 กระปุก (100 แคปซูล ราคา 950.-

*** 1 แคปซูล 1000 มก.

ส่วนประกอบสำคัญ

สารสกัดจากโรสฮิป หรือผลกุหลาบป่า (Rose Hips Extract) ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผลไม้แห่งความเยาว์วัย” คือส่วนที่เป็นรังไข่ของกุหลาบ มีลักษณะเป็นลูกสีแดง ส้ม เหลือง หรือบางครั้งอาจพบเป็นสีน้ำตาล เป็นผลไม้ท้องถิ่นที่นิยมมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ให้ผลผลิตเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย

1. วิตามินซีธรรมชาติ มีวิตามินซีสูงมากกว่าผลไม้ตระกูลส้ม 20 เท่า ด้วยคุณประโยชน์ดังนี้

1.1 ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้การสร้างโปรตีนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ เสริมสร้างการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

1.2 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ และการอักเสบภายในร่างกาย รวมทั้งกระตุ้นให้สร้างวิตามินอีที่มีหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์

1.3 ช่วยทำให้ตับขจัดสารพิษหลายชนิดในกระแสเลือดได้ดี ช่วยให้ตับดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาสร้างเป็นน้ำดีแล้วขับออกสู่ลำไส้เล็ก ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง และช่วยให้ตับขจัดสารพิษภายในตัวตับเองได้ดี

1.4 กระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารยืดหยุ่น ได้แก่ คอลลาเจนและอีลาสติน โดยเฉพาะที่ผิวหนัง เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง ผิวหนังชุ่มชื่น หลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดมีความเหนียวและยืดหยุ่นได้ดี ไม่เปราะแตกง่าย เลือดไหลเวียนได้ดี ข้อต่อต่าง ๆ และกระดูก ช่วยให้การสร้างกระดูกของร่างกายดำเนินไปตามปกติ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและแมกนีเซียมจากลำไส้ได้ดี ทำให้มีแร่ธาตุเพียงพอต่อการสร้างกระดูก

2. ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) หรือวิตามินพี ได้แก่ ซิทริน (Citrin) รูทิน (Rutin) และเฮสเพอริดิน (Hesperidin) ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน เพิ่มความแข็งแรงให้ผนังเส้นเลือดฝอย ช่วยให้วิตามินซีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันไม่ให้วิตามินซีถูกทำลายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น

3. แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ได้แก่ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ไลโคปีน (Lycopene) ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมให้วิตามินซีและวิตามินอีต่อต้านอนุมูลอิสระทั้งภายในและภายนอกเซลล์ได้ดี ปกป้องเซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายจากอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุสำคัญนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง และกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายให้มีประสิทธิภาพการทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น

4. วิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินบีคอมเพล็กซ์ และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เสริมให้วิตามินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและดูดซึมได้ดี

5. กรดไขมันโอเมก้า 3, 6 และ 9 ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง ผิวพรรณชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม สดใส ป้องกันเซลล์ผิวจากมลภาวะแวดล้อม

บทความแนะนำ
ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิตามินซี

       ในยุคดิจิทัลที่โลกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมหาศาล เราต้องรู้เท่าทันข้อมูล มีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ทันสมัยและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิต โดยเฉพาะสภาวการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยมลพิษจากสิ่งแวดล้อม ความเครียด พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต อันก่อให้เกิดโรคกลุ่มที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อันได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไตเสื่อม โรคตับ โรคเบาหวาน โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง โรคเบาหวาน โรคมะเร็งต่าง ๆ และโรคอ้วน โดยพบว่า อัตราการเสียชีวิตของคนทั่วโลก 63% มาจากกลุ่มโรค NCDs (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) รวมทั้งสถานการณ์ของโรคอุบัติใหม่ “การดูแลใส่ใจสุขภาพ” จึงเป็นกระแสที่ทุกคนเริ่มตระหนักและให้ความสนใจอย่างจริงจังเพื่อการปรับตัวในวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ดังนั้นเราต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ “วิตามินและแร่ธาตุที่เราควรรับประทาน” โดยวิตามินแรกที่จะกล่าวถึงคือ วิตามินซี
       วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำ ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทาน แม้ว่าประเทศไทยเราจะเต็มไปด้วยพืชผักและผลไม้ แต่กลับพบว่าคนไทยกำลังประสบกับการเกิดโรคกลุ่มที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมากลุ่มโรค NCDs เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย โดยมีคนไทยป่วยด้วยโรค NCDs ถึง 14 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 300,000 คนต่อปี และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี สาเหตุหลักสำคัญของกลุ่มโรค NCDs เกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารปิ้งย่าง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย การนอนดึก การมีความเครียดสูง การรับประทานยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ “การขาดวิตามินซี” โดยสามารถอธิบายปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ทำให้คนเราขาดวิตามินซี มีดังนี้
       1. อารยธรรมการรับประทานอาหารปรุงสุก
         วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้และสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน อากาศ ความชื้น หรือสารที่เป็นด่าง โดยเฉพาะเมื่อโดนความร้อนจากการปรุงอาหารเพียงไม่กี่นาที วิตามินซีในอาหารก็จะสลายตัวหมด 100% ดังนั้นวิตามินซีที่ดีที่สุดจึงได้จากการรับประทาน ผัก-ผลไม้สด ยิ่งเรารับประทานมากเท่าไรยิ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพมากเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามีโอกาสน้อยมากที่จะรับประทานผัก-ผลไม้สดที่เก็บมาใหม่จากต้นหรือแหล่งจากธรรมชาติ โดยไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนและไม่ผ่านการล้างน้ำ เนื่องจากเราต้องล้างสารเคมีตกค้าง ปรสิต ไข่พยาธิในผักผลไม้ทุกครั้งก่อนรับประทาน เราจึงมีโอกาสได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
       2. สิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษทำให้คนเราขาดวิตามินซี
         เมื่อร่างกายได้รับสารพิษ กลไกในร่างกายจะเร่งการขจัดสารพิษ ซึ่งในกระบวนการขจัดสารพิษด้วยตับตับจำเป็นต้องใช้วิตามินซีเป็นจำนวนมาก ยิ่งสิ่งแวดล้อมมีมลพิษมากเท่าไร ยิ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้คนเราขาดวิตามินซีมากขึ้นเท่านั้น
       3. ความเครียดทำให้คนเราขาดวิตามินซี
         ในสภาวะจิตใจที่เราเกิดความเครียดจะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เกิดการอับเสบขึ้น ทั่วร่างกาย ร่างกายต้องใช้วิตามินซีเป็นจำนวนมากเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านการอักเสบ ทำให้ระดับวิตามินซีในร่างกายของเราลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
       จากที่กล่าวข้างต้นชี้ให้เห็นชัดแล้วว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยและคนทั่วโลกส่วนใหญ่ขาดวิตามินซี มีปัจจัยใดบ้าง สิ่งสำคัญประการที่สองคือ เราควรรู้ว่า “เมื่อร่างกายขาดวิตามินซีจะเกิดโทษอย่างไร” สามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายดังนี้
       1. การสร้างคอลลาเจนหยุดชะงัก
         อวัยวะที่มีคอลลาเจน (Collagen) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญคือ
         1.1 ผิวหนัง
           ความเต่งตึงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง เกิดจากการมีเส้นใยคอลลาเจนอยู่ใต้ผิวหนัง หากขาดคอลลาเจน ผิวหนังก็จะเหี่ยวย่น ทำให้แก่เร็ว
         1.2 เส้นเลือด
           เส้นเลือดนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ผนังของเส้นเลือดประกอบด้วยคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญ คอลลาเจนทำให้เส้นเลือดมีความเหนียวและยืดหยุ่นได้ดี ถ้าขาดคอลลาเจนผนังเส้นเลือด ก็จะแข็งเปราะแตกง่าย ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นทำให้เส้นเลือดแตกง่ายมีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตได้ง่าย
         1.3 กระดูก
           ส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูกก็คือคอลลาเจน คอลลาเจนทำให้กระดูกเหนียวไม่เปราะแตกง่าย ถ้าไม่มีคอลลาเจนเป็นโครงสร้างให้แคลเซียมและแมกนีเซียมยึดเกาะ ร่างกายก็สร้างกระดูกไม่ได้ เกิดโรคกระดูกพรุน วิตามินซียังช่วยให้การสร้างกระดูกของร่างกายดำเนินไปตามปกติ รวมทั้งวิตามินซียังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและแมกนีเซียมจากลำไส้ได้ดีอีกด้วย ทำให้ร่างกายมีแร่ธาตุเพียงพอต่อการสร้างกระดูก ดังนั้นถ้าร่างกายเราขาดวิตามินซีก็จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะแตกง่าย เกิดผลเสียกับกระดูกอย่างมาก
       2. การสร้างภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง
         ถ้าร่างกายขาดวิตามินซีจะทำให้ภูมิคุ้มกันโรคอ่อนแอ การสร้างโปรตีนเพื่อนำไปใช้ในการสร้างภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี (Antibody) บกพร่อง การทำงานของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรคและเซลล์มะเร็งไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ติดเชื้อโรคและเป็นมะเร็งได้ง่าย
       3. การต่อต้านอนุมูลอิสระด้อยประสิทธิภาพ
         วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านการอักเสบจากสารอนุมูลอิสระ (Free radicals) ที่เกิดจากความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ มลพิษ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ และการรับประทานอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ อาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม เป็นต้น การต่อต้านอนุมูลอิสระของวิตามินซีเกิดขึ้นภายนอกเซลล์เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ส่วนการต่อต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์เป็นหน้าที่ของวิตามินอี ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากพอจะเกิดการกระตุ้นให้สร้างวิตามินอีภายในเซลล์ ดังนั้นถ้าเราขาดวิตามินซีก็จะทำให้ระบบต่อต้านอนุมูลอิสระบกพร่องทั้งภายในและภายนอกเซลล์
       4. การขจัดพิษในร่างกายทำได้ไม่ดี
       วิตามินซีช่วยขจัดพิษในร่างกายคนเราทั้งในส่วนของกายและจิต ช่วยทำให้ตับขจัดสารพิษหลายชนิด ในกระแสเลือดได้ดี ช่วยทำให้ตับดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาสร้างเป็นน้ำดีแล้วขับออกสู่ลำไส้เล็กทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง และยังช่วยทำให้ตับขจัดสารพิษภายในตัวตับเองได้ดีอีกด้วย
       กล่าวสรุปได้ว่าหากร่างกายเราขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิต้านทานโรคต่ำ ติดเชื้อง่าย เป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่ายร่างกายเสื่อมโทรมเร็วจากการกระทำของอนุมูลอิสระ (Free Radicals) และการอักเสบภายในร่างกาย ส่งผลให้เกิดโรคจากความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดผิดปกติโรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคมะเร็ง ทำให้เกิดความเครียดได้ง่ายและหายจากความเครียดได้ช้า ทำให้เส้นเลือดแข็งเปราะ แตกง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ง่าย กระดูกเปราะ หักง่าย แตกง่าย ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน รวมทั้งผิวหนังเหี่ยวย่นเร็ว ทำให้แก่เร็ว

ข้อมูล: นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
วิตามินซีธรรมชาติและวิตามินซีสังเคราะห์

       วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำ ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับและทราบกันในวงกว้างว่า “วิตามินซี” เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ต่อต้านความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารยืดหยุ่น คือ คอลลาเจนและอีลาสติน โดยเฉพาะที่ผิวหนัง หลอดเลือด ข้อต่อต่าง ๆ และกระดูก ทำให้คงความยืดหยุ่นของร่างกายไว้ได้นาน แก่ช้าและอายุยืน ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุ สารอาหาร รวมทั้งเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค และต้านทานมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
       ในสภาวการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยโรคอุบัติใหม่ มลพิษจากสิ่งแวดล้อม ความเครียด และพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ จากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบในยุคดิจิทัล ที่อาจส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินซีและเกิดโรคกลุ่มที่ไม่ติดต่อ (NCDs) เราจึงควรให้ความสำคัญกับการรับประทานวิตามินซีจากการรับประทานพืช-ผัก-ผลไม้สด แต่วิตามินซีสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน อากาศ ความชื้น หรือสารที่เป็นด่าง ตัวอย่างเช่นผักหรือผลไม้สด เมื่อเราเก็บไว้เป็นเวลานานวิตามินซีก็จะสลายไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้เราได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ การรับประทานวิตามินซีที่สกัดจากธรรมชาติจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาบริโภคโดยไม่ทราบว่า วิตามินซี มี 2 ชนิดด้วยกันคือ “วิตามินซีธรรมชาติ” และ “วิตามินซีสังเคราะห์” โดยทั่วไปแล้วการที่จะได้รับประโยชน์จากวิตามินซีอย่างเต็มที่ เราควรรับประทานวิตามินซีธรรมชาติ ซึ่งมีข้อแตกต่างจากวิตามินซีสังเคราะห์ดังนี้
       1. วิตามินซีธรรมชาติมีสารประกอบอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์
         การเลือกรับประทานวิตามินซีที่สกัดจากธรรมชาติ มักพบสารประกอบต่าง ๆ ทั้งไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) ได้แก่ ซิทริน (Citrin) รูทิน (Rutin) และเฮสเพอริดิน (Hesperidin) พบมากในมะนาว ส้ม แอพริคอต เชอร์รี แบล็คเบอร์รี เกรปฟรุต มะกรูด อีกทั้งสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ได้แก่ เบต้า แคโรทีน (Beta-carotene) ไลโคปีน (Lycopene) ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระพบมากในแครอท ฟักทอง ฟักข้าว ข้าวโพด มะเขือเทศ มะละกอ โดยเฉพาะสารสกัดจากผลกุหลาบป่า (Rose Hips) ที่อุดมด้วยไบโอฟลาโวนอยด์และสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีความเป็นกรดต่ำ ช่วยให้วิตามินซีทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันไม่ให้วิตามินซีถูกทำลายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
         ส่วนวิตามินซีจากสารสังเคราะห์มีข้อดีคือ ราคาไม่แพง แต่มีข้อเสียคือ มีส่วนประกอบเป็นกรดแอสคอร์บิค (Ascorbic Acid) ล้วน ๆ จะสูญสลายได้ง่ายจากกระบวนการออกซิเดชั่น หากรับประทานในปริมาณมาก ร่างกายจะมีความเป็นกรดสูงเกินไป ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ง่าย
         นอกจากนี้เราสามารถสังเกตวิตามินซีสังเคราะห์บางตัวจากส่วนประกอบข้างฉลากมักมีคำว่า แคลเซียม แอสคอร์เบท (Calcium Ascorbate) โพแทสเซียม แอสคอร์เบท (Potassium Ascorbate) โซเดียม แอสคอร์เบท (Sodium Ascorbate) เป็นต้น ซึ่งมีความเป็นกรดน้อยกว่าวิตามินซีสังเคราะห์ในรูปกรดแอสคอร์บิกล้วน จึงมีผลระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยกว่า เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร แต่การเลือกใช้ควรคำนึงถึงสภาวะหรือโรคประจำตัวของผู้บริโภค เนื่องจากเกลือต่าง ๆ นี้จะถูกดูดซึมไปพร้อมกับวิตามินซีด้วย ดังนั้นอาจต้องระมัดระวังในการรับประทาน เช่น ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือโรคไตที่จำกัดปริมาณเกลือหรือโซเดียม ควรระมัดระวังการทานโซเดียม แอสคอร์เบท (Sodium Ascorbate) เพราะอาจทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ หรือผู้ที่มีภาวะไตวาย ผู้ที่ทานยาขับปัสสาวะที่จะทำให้ระดับโพแทสเซียมในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ ควรระมัดระวังการทานโพแทสเซียม แอสคอร์เบท (Potassium Ascorbate) เป็นต้น (ข้อมูลจากหน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
       2. วิตามินซีธรรมชาติดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินซีสังเคราะห์
         สารประกอบพวกไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) และสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่สกัดจากธรรมชาติจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้มากขึ้น โดยเฉพาะวิตามินซีจากโรสฮิปหรือผลกุหลาบป่า จะมีไบโอฟลาโวนอยด์และเอนไซม์อื่น ๆ ที่ช่วยให้วิตามินซีแตกตัวได้ดี ถือเป็นแหล่งของวิตามินซีตามธรรมชาติที่ดีที่สุด
       3. วิตามินซีธรรมชาติจะมีความเป็นกรดต่ำ ไม่ทำลายสารเคลือบฟัน ไม่กัดฟัน ไม่ทำให้ฟันผุง่าย
       4. วิตามินซีธรรมชาติมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างโปรตีนคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอย เพิ่มภูมิคุ้มกันลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดต้านทานอาการภูมิแพ้ อักเสบ ติดเชื้อ บรรเทาความดันโลหิตสูงและต้อกระจกได้
       จำนวนวิตามินที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน สำหรับผู้ที่มีความเครียดสูง อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษมาก ควรรับประทานประมาณวันละ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน วิธีรับประทานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดคือ ครั้งละ 250 มิลลิกรัม เช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน ซึ่งเหตุที่แนะนำให้รับประทานบ่อย ๆ แทนการรับประทานวันละ 1 ครั้ง 1,000 มิลลิกรัม เพราะวิตามินซีจะอยู่ในกระแสเลือดเฉลี่ยประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนวิตามินซีธรรมชาติชนิด ที่ได้จากกระบวนการผลิตแบบ Time Release จะมีการเคลือบเม็ดไม่ต่ำกว่า 10 ชั้น เพื่อให้เกิดการย่อยและ ดูดซึมจากทางเดินอาหารแบบต่อเนื่องตลอด 12 ชั่วโมง ต่อการรับประทาน 1 ครั้ง ส่งผลให้ระดับวิตามินซีในกระแสเลือดมีระดับคงที่ตลอดเวลาในปริมาณที่เหมาะสม จึงถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาการที่ต้องรับประทานบ่อยครั้ง โดยหากรับประทานก่อนอาหารจะทำให้การดูดซึมมีประสิทธิภาพสูงสุด
       นอกจากนี้ในสภาวะที่ร่างกายมีการอักเสบมาก เครียดมาก เป็นไข้หวัด ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่สัมผัสควันจากบุหรี่เป็นประจำ ผู้ที่ไม่ชอบทานผักผลไม้หลากหลาย ควรเพิ่มขนาดเป็น 2,000-4,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถรับประทานได้ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสะสมความเป็นพิษ และควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง
       จากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า เราควรพิจารณาหลายประเด็นก่อนการเลือกรับประทานวิตามินซี เพื่อให้เรารู้เท่าทันและสามารถนำไปใช้เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ให้เซลล์เสื่อมสภาพและเกิดโรคต่าง ๆ รวมทั้งเสริมสร้างคอลลาเจน เสริมความแข็งแรงให้โมเลกุลของคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง รวมถึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือดทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี
ข้อมูล: นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ และหน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
TAG
FOLLOW ME
Health & Wellness
Bring Happiness to Your
Good Health and Good Life

บริษัท เวลเนส กรีน ไลฟ์ จำกัด
ช65/4-5 ถ.สวรรค์วิถี ต.ปากน้ำโพ
อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ 60000

Tel : 091-459-6662 หรือ 056-222-662
Facebook : เวลเนส กรีน ช็อป
                 สาขานครสวรรค์
Line ID : @wglgoodlife
e-Mail : wellness.nsn@gmail.com
              info@wellnessgreenlife.co.th
www.wellnessgreenlife.com :  www.wellnessgreenlife.co.th :  www.wellnessgoodlifeshop.com
Copyright © 2021 Wellness Green Life All Rights Reserved.