ภาวะไขมันพอกตับและภาวะตับแข็ง ถือเป็นโรค NCDs ที่พบมากในปัจจุบัน เป็นโรคที่เกิดจากการมีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันและพฤติกรรมการรับประทานอาหารผิดไปจากหลักธรรมชาติ หากไม่ได้ รับการดูแลด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ก็อาจส่งผลต่อชีวิตจากภาวะตับวายหรือโรคมะเร็งตับได้ ดังนั้นการแก้ไขที่ต้นเหตุ อาทิ สลายไขมันที่พอกตับ หยุดการทำร้ายจากสารเคมีต่าง ๆ และบำรุงตับที่แข็งให้กลับมาเป็นปกติจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสม “ผลิตภัณฑ์ Lecithin” เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สกัดเลซิตินจากถั่วเหลืองประกอบด้วยฟอสฟอรัส กรดไขมัน และวิตามินในกลุ่มวิตามินบี อีกทั้งมีสารสำคัญ ชื่อว่า “ฟอสโฟไลปิด (Phospholipid)” เป็นสารที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของทุกระบบในร่างกาย โดยเฉพาะสมองกับระบบประสาท ช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้นได้ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันที่ตับ สลายไขมันที่พอกตับ ช่วยลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี เสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของตับ ป้องกันการดูดซึมคอเลสเตอรอลในระบบทางเดินอาหาร และเพิ่มการขับถ่ายคอเลสเตอรอลทางอุจจาระ อีกทั้งลดภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับและภาวะตับแข็ง ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ผู้ที่ต้องการบำรุงสมอง ระบบประสาท และควบคุมไขมัน ควบคู่กับการปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและการรับประทานอาหารตามหลักธรรมชาติ ร่วมกับแนวทางอื่น
*** 1 กระปุก บรรจุ 60 แคปซูล ราคา 790 บาท
Soy Lecithin / Lecithin (100%) 1,200 mg.
เลซิติน (Lecithin) ที่สกัดจากถั่วเหลือง ประกอบด้วยฟอสฟอรัส กรดไขมัน และวิตามินในกลุ่มของวิตามินบี อีกทั้งมีสารสำคัญ ชื่อว่า “ฟอสโฟไลปิด (Phospholipid)” ที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของทุกระบบในร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้
1. โคลีน (Choline) ในเลซิตินจะมีผลในการเร่งการเผาผลาญไขมันที่ตับ ส่งผลให้ร่างกายมีการนำไขมันไปใช้เป็นพลังงานได้มากขึ้น ภาวะไขมันพอกตับก็จะลดลง ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลที่เป็นตัวการสำคัญในการทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ นอกจากนี้ยังเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ อะซิติลโคลีน (Acetylcholine) เข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาท บำรุงสมอง เสริมสร้างความจำและช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น
2. สารฟอสฟาทิดิลโคลีน (Phosphatidylcholine) ในเลซิติน เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ตับ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดความผิดปกติจากยา แอลกอฮอล์ สารเคมี สารพิษต่าง ๆ ที่จะทำลายตับ จึงมีบทบาทในการช่วยซ่อมแซมเซลล์และบำรุงตับได้
3. ช่วยทำให้คอเลสเตอรอลและน้ำรวมตัวกันได้ดีขึ้น ส่งผลให้คอเลสเตอรอลไม่เกาะติดกับผนังเส้นเลือดจนเกิดการอุดตัน เพิ่มระบบไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น อีกทั้งมีส่วนช่วยลดการดูดซึมและเพิ่มการขับถ่ายคอเลสเตอรอลทางอุจจาระ จึงช่วยเพิ่มสัดส่วนของไขมันดี (HDL-Cholesterol)
4. ช่วยป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี เลซิตินในน้ำดี ทำหน้าที่ช่วยเผาผลาญไขมันและควบคุมคอเลสเตอรอล โดยจะละลายไขมันให้แตกตัวเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ จึงช่วยทำให้คอเลสเตอรอลไม่ตกตะกอนในเลือดจนทำให้เกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้
5. ช่วยในกระบวนการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีขึ้น จึงทำให้ร่างกายนำวิตามินที่ละลายในไขมัน อันได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค สามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. ช่วยควบคุมน้ำหนักของร่างกาย เพราะเลซิตินช่วยทำให้ไขมันกระจายตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ที่แขวนลอยในน้ำ ซึ่งจะทำให้ร่างกายเผาผลาญคอเลสเตอรอลและนำไปใช้เป็นพลังงานให้ดีขึ้น
โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคในระบบทางเดินอาหารที่สามารถเกิดขึ้นได้และอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหากไม่รีบรักษา ส่วนใหญ่มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1-2 เท่า ส่วนใหญ่มีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร มีเพียงส่วนน้อยที่เกิดจากพันธุกรรม หากเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ถึงขั้นอักเสบแล้ว อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก เราจึงไม่ควรละเลยและหันมาทำความรู้จักกับโรคนี้
ถุงน้ำดีมีหน้าที่ “เก็บสะสมน้ำดี” ที่ตับสร้างไว้ เพื่อใช้น้ำดีย่อยอาหารประเภทไขมัน โดยในน้ำดีจะประกอบไปด้วยสารคอเลสเตอรอล กรดน้ำดี สารฟอสโฟลิพิด (Phospholipids) และสารอื่น ๆ โดยนิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) คอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี ที่เกิดมาจากการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี และความไม่สมดุลของส่วนประกอบคอเลสเตอรอลกับบิลิรูบินในน้ำดี การตกผลึกของสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็กจำนวนหลายก้อนก็ได้ และการสะสมของนิ่วกว่า 95 % มักทำให้เกิดภาวะอักเสบในถุงน้ำดี
ประเภทของก้อนนิ่วที่เกิดในถุงน้ำดี
นิ่วในถุงน้ำดี ประกอบด้วยสาร 3 ชนิดหลัก ได้แก่ แคลเซียม คอเลสเตอรอล และบิลิรูบิน สามารถแบ่งจากลักษณะและองค์ประกอบของการเกิดนิ่วได้ 2 ประเภท ได้แก่
1. ชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล (cholesterol stones) เป็นนิ่วที่เกิดขึ้นจากการจับตัวของคอเลสเตอรอลประมาณ 70% โดยน้ำหนัก เกิดจากการมีคอเลสเตอรอลมากเกินไป ไม่สามารถขับออกมาจากถุงน้ำดีได้หมด จึงตกตะกอนกลายเป็นก้อนนิ่ว นิ่วชนิดนี้มักพบในผู้ป่วยในประเทศแถบตะวันตกและผู้รับประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำ
2. ชนิดที่เกิดจากเม็ดสีหรือบิลิรูบิน (pigment stones) ก้อนนิ่วชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่าชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล มักพบในผู้ป่วยโรคตับหรือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเลือด เช่น โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดนิ่ว
1. ความอ้วน คนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินมาตรฐานจะเกิดนิ่วที่มีคอเลสเตอรอล เนื่องจากการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง
2. การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากไป ทำให้ตับหลั่งคอเลสเตอรอลออกมามากขึ้น รวมถึงถุงน้ำดีจะบีบตัวลดน้อยลง น้ำดีจึงค้างอยู่ในถุงน้ำดีนานขึ้น โอกาสเกิดการตกตะกอนก็มากขึ้น
3. พฤติกรรมการรับประทานอาหารไขมันสูง อาหารที่มีไขมันสูงและเส้นใยอาหารต่ำ ทำให้เกิดการสะสมไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกาย การย่อยไขมันไม่สมบูรณ์ เมื่อสะสมเป็นเวลานานก็จะเกิดอาการนิ่วในถุงน้ำดี
4. ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และช่วยลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นคนที่ขาดการออกกำลังกายจึงมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่ออกกำลังกาย
5. ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูง ถุงน้ำดีจะมีการบีบตัวน้อย จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่ายขึ้น
6. การรับประทานยาลดไขมันบางชนิดก็เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
7. การได้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการรับประทานหรือตั้งครรภ์ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง และลดการเคลื่อนตัวของถุงน้ำดี
8. ผู้ป่วยโรคเลือดบางโรค เช่น ธาลัสซีเมีย โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก จะมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนทั่วไป
9. พันธุกรรม บิดามารดาที่เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
อาการของนิ่วในถุงน้ำดี
อาการในช่วงแรก
ในช่วงแรกที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี บางคนอาจยังไม่แสดงอาการ หรือมีอาการแต่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นนิ่วและตรวจเช็คร่างกาย เมื่อระยะเวลาผ่านไป นิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือสะสมเพิ่มจำนวนขึ้น จึงเริ่มมีอาการ โดยอาการ ในช่วงแรกที่ยังไม่รุนแรงมาก มักเกิดขึ้นเป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจึงไปกระตุ้นให้เกิดอาการบวมตึงในถุงเนื่องจากการคั่งของของเหลว ข้อสังเกตคือ มักมีอาการหลังรับประทานอาหารไขมันสูงหรือช่วงเวลากลางคืน อยู่ 1 - 2 ชั่วโมงก็หาย และในขณะที่มีอาการยังพอขยับตัวได้ ลักษณะอาการที่สังเกตได้มีดังนี้
- แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อบริเวณเหนือสะดือ มีลมมาก
- ปวดจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ และอาจปวดร้าวไปบริเวณสะบักขวา
- อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน คล้ายอาการของอาหารไม่ย่อย ร่วมด้วย
อาการรุนแรง
โดยทั่วไปหากเริ่มมีอาการแล้วก็มักเป็นต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น เนื่องจากก้อนนิ่วมักไม่ได้สลายไปแต่จะสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้มีโอกาสเกิด “ภาวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis)” ได้ทุกเมื่อ และมีอาการรุนแรงกว่า โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้
- ปวดจุกแน่น ยาวนาน 4 - 6 ชั่วโมงแล้วยังไม่หาย
- ปวดท้องรุนแรงบริเวณช่วงท้องส่วนบนด้านขวา หรือปวดจุกเสียดรุนแรงบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
- มีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- ปัสสาวะเหลืองเข้ม หรืออุจจาระสีซีด (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- เป็นไข้ มีอาการหนาวสั่น
- คลื่นไส้ อาเจียน (เมื่อถุงน้ำดีติดเชื้อ)
ข้อสังเกตคือ ผู้ป่วยแทบจะขยับตัวไม่ได้เลยเนื่องจากมีอาการปวดมาก ดังนั้นหากพบว่ามีอาการดังกล่าวแล้วควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
อาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากอาการอักเสบเฉียบพลันและอาการของผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดีที่พบเป็นประจำแล้ว อาจมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นซึ่งอันตรายไม่แพ้กัน ได้แก่
1. ตับและตับอ่อนอักเสบ
เกิดจากการอุดตันของนิ่วในท่อน้ำดี ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีซ่าน และทำให้ตับหรือตับอ่อนเกิดการอักเสบตามมาได้
2. ลำไส้อุดตัน
เกิดจากการคั่งของน้ำดี แล้วทะลุไปยังช่องท้องหรือทะลุไปสู่อวัยวะอื่น ทำให้ก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่ไป อุดตันบริเวณลำไส้ ซึ่งมักเกิดกับบริเวณที่ลำไส้ตีบแคบ เช่น ileocecal valve เป็นต้น
3. มะเร็งถุงน้ำดี
ผู้ป่วยมะเร็งถุงน้ำดีส่วนใหญ่ มีนิ่วในถุงน้ำดีร่วมด้วย ยิ่งถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดีมากขึ้นไปอีก
4. ติดเชื้อรุนแรง (กรณีผู้ป่วยเบาหวาน)
ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ควรได้รับการผ่าตัดโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยให้อักเสบขึ้นมาแล้ว มักจะมีภาวะติดเชื้อที่รุนแรงและเสี่ยงถึงชีวิต
จะเห็นได้ว่า แม้ยังไม่ได้มีอาการอักเสบเกิดขึ้น แต่การปล่อยให้เป็นนิ่วเป็นระยะเวลาอยู่นาน จะส่งผลให้มีการอักเสบและเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา ดังนั้นเราควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากพบอาการข้างต้นควรรีบปรึกษาแพทย์ ที่สำคัญเราสามารถดูแลและป้องกันโรคนี้ได้ด้วยการหลีกเลี่ยงอาหารมีไขมันสูง โดยเฉพาะของมัน ของทอด ขนมหวาน รับประทานอาหารที่มีเลซิตินสูง รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
เลซิติน (Lecithin) คือสารประกอบระหว่างกรดไขมันจำเป็น ฟอสฟอรัส และวิตามินบี 2 ตัว ได้แก่ โคลีน (Choline) และอินอสซิตอล (Inositol) อีกทั้งมีสารสำคัญ ชื่อว่า “ฟอสโฟไลปิด (Phospholipid)” ที่มีความจำเป็นต่อต่อเซลล์ทุกชนิดในร่างกายมนุษย์ เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ และเซลล์ประสาท โดยพบมากในอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ตับ ไต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สมอง” มีเลซิตินเป็นส่วนประกอบมากถึง 30% ซึ่งจำเป็นต่อการควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ภายในเซลล์ ให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของเลซิติน แบ่งตามแหล่งที่พบได้ 2 แหล่งคือ
1. ร่างกายมนุษย์
ร่างกายมนุษย์สามารถผลิต “เลซิติน” ขึ้นได้เอง จากการสังเคราะห์โดยกลไกของร่างกายที่อวัยวะ “ตับ”
พบมากในอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ตับ ไต สมอง โดยสารตั้งต้นที่ร่างกายใช้ผลิตเลซิติน ได้แก่ กรดไขมันจำเป็น วิตามินบี และสารอาหารสำคัญอื่น ๆ
2. แหล่งธรรมชาติในพืชและสัตว์
โดยพบมากในแหล่งอาหารต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เมล็ดทานตะวัน เมล็ดดอกคำฝอย ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี เมล็ดธัญพืช เนื้อสัตว์ ปลา ตับ และไข่แดง โดยเลซิตินที่ได้จากถั่วเหลืองจะมีคุณภาพดีกว่าจากไข่แดง เนื่องจากมี “กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง” อีกทั้งยังพบว่าในถั่วเหลืองมีเลซิตินสูงที่สุดประมาณ ร้อยละ 1.1-3.2
ถึงแม้ว่าร่างกายสามารถผลิต “เลซิติน” ขึ้นมาเองได้ที่ตับ แต่หากร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตเลซิตินไม่เพียงพอก็จะทำให้ไม่สามารถผลิตเลซิตินได้มากพอที่ร่างกายต้องการ และเกิดภาวะขาดเลซิตินตามมา ดังนั้นร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับเลซิตินจากแหล่งอาหารธรรมชาติร่วมดัวย
ประโยชน์ของเลซิตินต่อร่างกาย มีดังนี้
1. บำรุงตับและลดภาวะไขมันพอกตับ
โคลีน (Choline) ในเลซิตินจะมีผลในการเร่งการเผาผลาญไขมันที่ตับ ส่งผลให้ร่างกายมีการนำไขมันไปใช้เป็นพลังงานได้มากขึ้น ภาวะไขมันพอกตับก็จะลดลง ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลที่เป็นตัวการสำคัญในการทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ และสารฟอสฟาทิดิลโคลีน (Phosphatidylcholine) ในเลซิติน เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ตับ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดความผิดปกติจากยา แอลกอฮอล์ สารเคมี สารพิษต่าง ๆ ที่จะทำลายตับ จึงมีบทบาทในการช่วยซ่อมแซมเซลล์ตับและบำรุงตับได้ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานที่มีการพบว่า ผู้ที่มีการทำงานของตับผิดปกติสามารถรักษาได้ด้วยการให้โคลีนหรือเลซิติน (สำนักโภชนาการ กรมอนามัย, 2563: 238-241)
2. เลซิตินกับสมอง
โคลีน (Choline) ในเลซิตินเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ อะซิติลโคลีน (Acetylcholine) เป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญของระบบประสาท มีหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ ควบคุมการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของร่างกาย เข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาท บำรุงสมอง เสริมสร้างความจำและช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น
เลซิตินจึงถือเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง และเป็นสารธรรมชาติที่ทุกเพศทุกวัยต้องการ (Boeke, Gillman, Hughes, Rifas-Shiman, Villamor, & Oken, 2013: 1338-1347; Freeman, & Jenden, 1976: 949–961; Korsmo, Jiang, & Caudill, 2019: 1823)
3. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
เลซิตินช่วยทำให้คอเลสเตอรอลและน้ำรวมตัวกันได้ดีขึ้น ส่งผลให้คอเลสเตอรอลไม่เกาะติดกับผนังเส้นเลือดจนเกิดการอุดตัน เพิ่มระบบไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น อีกทั้งมีส่วนช่วยลดการดูดซึมและเพิ่มการขับถ่ายคอเลสเตอรอลทางอุจจาระ จึงช่วยเพิ่มสัดส่วนของไขมันดี (HDL-Cholesterol) ดังนั้นการรับประทานเลซิตินจากถั่วเหลืองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพเพื่อเพิ่มการขับคอเลสเตอรอล เพราะการรับประทานไขมันไม่ว่าจากสัตว์หรือพืชในปริมาณมากอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นการอักเสบในร่างกายได้ หากบริโภคในปริมาณที่ไม่เหมาะสม
4. ลดความเสี่ยงของนิ่วในถุงน้ำดี
เลซิตินในน้ำดี ทำหน้าที่ช่วยเผาผลาญไขมันและควบคุมคอเลสเตอรอล โดยจะละลายไขมันให้แตกตัวเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ จึงช่วยทำให้คอเลสเตอรอลไม่ตกตะกอนในเลือดจนทำให้เกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ นอกจากนี้ยังช่วยในการสลายโมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์ (Zhao, & Kim, 2017: 1341–1347) จึงลดความเสี่ยงต่อนิ่วในถุงน้ำดี
5. ประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ
5.1 ช่วยในกระบวนการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีขึ้น จึงทำให้ร่างกายนำวิตามินที่ละลายในไขมัน อันได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค สามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.2 ช่วยควบคุมน้ำหนักของร่างกาย เพราะเลซิตินช่วยทำให้ไขมันกระจายตัวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ที่แขวนลอยในน้ำซึ่งจะทำให้ร่างกายเผาผลาญคอเลสเตอรอลและนำไปใช้เป็นพลังงานให้ดีขึ้น
5.3 ช่วยสร้างเยื่อบุผิวเซลล์ต่าง ๆ
ร่างกายจะนำเลซิตินไปใช้ในการสร้างเยื่อบุผิวเซลล์ต่าง ๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ผิวหนัง รวมถึงเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ และเลซิตินยังเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการสร้างโมเลกุลที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ระบบภูมิคุ้มกันบางชนิด การแข็งตัวของเลือด เพื่อให้การทำงานภายในร่างกายสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า “เลซิติน” มีความสำคัญต่อสมองและร่างกายในการควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ภายในเซลล์ ให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากร่างกายเราสามารถผลิตเลซิตินได้เองที่ตับแล้ว การได้รับจากแหล่งอาหารธรรมชาติในยุคปัจจุบันที่ต้องผ่านกระบวนการปรุงสุก เช่น ต้ม ทอด ย่าง ซึ่งอาจทำลายเลซิตินในอาหารให้ลดลงไปมาก ดังนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเลซิตินที่สกัดจากธรรมชาติ จึงเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้รับเลซิตินจากแหล่งอาหารธรรมชาติได้เพียงพอต่อความต้องการ
เอกสารอ้างอิง
สำนักโภชนาการ กรมอนามัย . (2563). ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ.
2563. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข: ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ.วี. โปรเกรสซีฟ.
Boeke, C.E., Gillman, M.W., Hughes, M.D., Rifas-Shiman, S.L., Villamor, E., & Oken, E. (2013). Choline
Intake during pregnancy and child cognition at age 7 years. Am. J. Epidemiol, 177:
1338-1347.
Freeman J.J., & Jenden D.J. (1976). The source of choline for acetylcholine synthesis in brain.
Life Sci. 19: 949–961.
Korsmo H.W., Jiang, X., & Caudill M.A. (2019). Choline: Exploring the growing science on its benefits
for moms and babies. Nutrients, 11:1823.
Zhao PY., & Kim IH. (2017). Effect of diets with different energy and lysophospholipids levels on
performance, nutrient metabolism, and body composition in broilers, Poult Sci,
96(5): 1341–1347.